วันเสาร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2558


ชีวิตเบิกบาน การเรียน การทำงานมีความสุข

           มนุษย์เราส่วนใหญ่ต้องใช้เวลาอยู่ที่ทำงานหรือมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานอย่างน้อยวันละ 8 ชั่วโมง (บางคนมากกว่า) ซึ่งถ้าหากในเวลา 8 ชั่วโมงนี้ เราต้องอยู่อย่าง
เบื่อหน่าย เจ็บปวด อิจฉาริษยา โกรธแค้น ฯลฯ ก็แปลว่าเราต้องเสียเวลาอันมีคุณค่าของเราไปถึง 8 ชั่วโมง หรือคิดเป็นจำนวนนาทีเท่ากับ 480 นาที หรือ 28,800 วินาที ไปกับ
เรื่องซึ่งทำให้ปั่นทอนจิตใจ อันจะนำมาซึ่งสุขภาพจิตที่ไม่เป็นสุข และส่งผลถึงสุขภาพร่างกายได้ เช่น เกิดอาการปวดหัวเรื้อรัง ท้องอืดท้องเฟ้อ โรคกระเพาะ ฯลฯ ได้ด้วย
          ในทางตรงข้าม ถ้าเรามีความสุขกับที่ทำงาน ก็จะทำให้เรารู้สึกอยากมาทำงาน ความอยากทำงานก็จะส่งผลให้เราทำงานได้ดี ผลงานของเราที่ออกไปก็จะมีคุณภาพ เมื่อ
เรามีความสุขกับงานที่เราทำและที่ทำงานของเรา เราก็จะแผ่รังสีแห่งความสุขนี้ออกไปยังคนรอบข้างด้วย ทำให้เพื่อนร่วมงานก็มีความสุข บรรยากาศในที่ทำงานก็จะมีความสุข
ทำให้ลดความตึงเครียดในการทำงาน หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ไม่ใช่มีริ้วรอยอันเกิดจากการขมวดคิ้วอยู่ตลอดเวลา การมีจิตใจที่แจ่มใสสดชื่นก็จะส่งผล
ทำให้ร่างกายทำงานได้ตามปกติ ไม่ต้องเจ็บไข้ได้ป่วยโดยไม่จำเป็นอีกด้วย
          มนุษย์เรานั้นมีทั้งกายและใจ ชีวิตคนเราต้องมีการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีรอยยิ้มให้แก่กัน ถ้อยทีถ้อยอาศัยซึ่งกันและกัน ความทุกข์นั้นเกิดจากมนุษย์สร้างขึ้นเองเมื่อมีความ
ทุกข์คนเราก็จะมีการดับทุกข์ เพื่อให้ชีวิตของเรานั้นดำรงอยู่ได้อย่างมีความสุข การทำงานให้มีความสุขกับงานที่เราได้รับมอบหมายนั้น เราจะต้องรู้จักสร้างสรรค์ผลงานของเรา
ให้มีประสิทธิภาพยิ่ง ๆ ขึ้นไปแล้วผลงานที่เราได้รับมอบหมายนั้น จะย้อนกลับมาตอบแทนในหน้าที่การงานของเรา ในเวลาขณะที่เราทำงาน เราจะต้องเอาตัวออกไปให้เหลือแต่


งานที่ทำเท่านั้น จะต้องลดตัวลงไปทุ่มเทกับงาน ในการทำงานเราจะต้องเอาชนะงานที่เราทำให้ได้ เพื่อที่งานของเราจะได้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี และจะทำให้ไม่มีทุกข์เนื่องจาก
งานของเราสำเร็จดี ให้กำลังใจกับตัวเรา ให้ทุกๆวันของเราเป็นวันที่มีความหมาย จึงทำให้เรามีความสุขในการทำงาน
          คนกับคนเป็นเหมือนกระจกซึ่งกันและกัน ไม่ควรละเลยที่จะใส่ใจ ต้องมีความเอื้ออาทร เกื้อกูลซึ่งกันและกัน รู้จักแบ่งปัน เข้าใจผู้อื่น และต้องเอาใจใส่ต่อกันและกัน ความ
งดงามของคนเรานั้นอยู่ที่เรามีมารยาทที่ดีต่อกัน เราเป็นดั่งใบไม้ต้นเดียวกัน มนุษย์มีความเห็นแก่ตัว มีความลำเอียง มีความคิดที่แปรเปลี่ยน จึงอย่าสำคัญตัวเอง อย่าคิดว่าเรา
ดีเลิศกว่าคนอื่น เพราะจะทำให้เกิดทุกข์ จะต้องรู้จักให้ความรัก และไม่ก้าวก่ายล่วงเกินผู้อื่นด้วย
          การมีชีวิตที่สงบสุข ทุกครั้งที่เราผิดพลาดให้เราย้อนกลับมาที่ตัวเรา การทำงาน การดำเนินชีวิตต่อไป เราจะต้อง มีการให้กำลังใจ และปลอบใจต่อกัน เพื่อที่จะเป็นแรงสู้
ต่อไปในวันข้างหน้า




เริ่มต้นสร้างความสุขด้วยการปรับเปลี่ยนทัศนคติ
          1) ทำงานที่ใจรัก เพราะถ้าเราทำงานที่ใจรักทุกๆวันจะเป็นวันแห่งความสุข เราไม่ต้องรอว่าความสุขจะมาถึงเราวันเสาร์-อาทิตย์แต่ทุกวันที่เราทำงานจะเป็นวันแห่งความ
สุขของเราเพราะว่าเราทำด้วยความรัก
          2) ทำงานทุกชิ้นให้เต็มที่ให้ดี เพราะเมื่อเราสร้างงาน งานจะย้อนกลับมาสร้างคน งานคือเวทีแสดงออกซึ่งศักยภาพในการทำงานของเราทุกครั้งที่เราทำงานให้เต็มที่และ
ทำอย่างดีที่สุด คนก็จะเห็นคุณค่าของเราว่ามีมากน้อยเพียงไร ดังนั้นเมื่อเราตั้งใจสร้างงาน งาน 1 ชิ้นก็จะย้อนกลับมาสร้างคน
          3) ทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต โปร่งใสเพราะเมื่อเราทำงานด้วยความสุจริตก็ไม่ต้องมานั่งระแวงภัยที่จะตามมาในอนาคตซึ่งเกิดจากการตามจับผิด โดยหน่วยงานของ
ทางการต่างๆ ถ้าเราทำวันนี้ให้ถูกต้องก็ไม่ต้องนั่งกังวลว่าวันวานมันจะผิด
          4) เป็นนักประสานสิบทิศ อย่ามัวแต่ทำงานจนหลงลืมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนร่วมงาน ไม่มีใครเก่งอยู่ได้คนเดียว แท้ที่จริงเราจะต้องอาศัยผู้ร่วมงานจากทุกฝ่ายอยู่
เสมอ ดังนั้นอย่ามัวแต่ทำงานแต่จงทำคนด้วย เพื่อก่อให้เกิดสภาวะงานก็สำเร็จ ชีวิตก็รื่นรมย์ คนก็สำราญ งานก็สำเร็จ ใครทำงานได้อย่างนี้คนๆนั้นจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ
ในการทำงาน จนกล่าวได้ว่า งานก็สำเร็จ ชีวิตก็รื่นรมย์
          การพัฒนาบุคลากรในการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพนั้น จึงถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็นมากในการพัฒนาองค์กร หน่วยงานนั้นๆ ทั้งในด้านความรู้ ความสามารถ
คุณธรรม จริยธรรม รวมถึงศิลปะของการเป็นผู้นำ ในการปฏิบัติงานอย่างมีความสุขด้วยคนสำราญ งานสำเร็จ โดยมุ่งสู่องค์กรแห่งความสำเร็จ

บันได 5 ขั้น พัฒนาสู่ความสุข
          บันไดขั้นที่ 1 มองตัวเองว่าดีและมีค่าทุกวัน ในแต่ละวันให้นึกถึงความดี และความโชคดีของตนเอง เริ่มต้นด้วยการตื่นนอนตอนเช้า ให้ยิ้มกับตัวเอง และนึกว่าโชคดี
ที่ได้ตื่นขึ้นมาแล้ว ให้นึกถึงความดีของตนเองที่เคยทำมาแล้วในอดีต (ที่สามารถนึกได้ง่าย ๆ) เช่น เคยทำบุญ เคยช่วยคนที่อ่อนแอกว่า เคยสงเคราะห์สัตว์ ฯลฯ คิดว่าตัวเองดี
และมีคุณค่าที่ได้เคยทำสิ่งดี ๆ และให้นึกซ้ำ ๆ จะได้เกิดความเชื่อตามที่นึกนั้น คุณก็จะเกิดความอิ่มเอิบใจ และเชื่อว่าตัวเองมีความดี ความเก่ง ตามความเป็นจริงในขณะนั้น
ด้วย คุณจะเกิดความอยากมีชีวิตอยู่ และสร้างสิ่งที่ดี ๆ ให้กับชีวิตต่อไป และต้องอวยพรตัวเองเสมอ ๆ อย่าแช่ง หรือตำหนิตัวเอง และอย่ารอให้คนอื่นมาชื่นชมคุณ ซึ่งมักจะไม่ได้
ดั่งใจ หรือได้มาก็ไม่สมใจ
          บันไดขั้นที่ 2 มองคนอื่นดี มองโลกในแง่ดี ขั้นนี้คุณจะต้องมองว่าทุก ๆ คน มีขีดจำกัดของความสามารถ ความดี ความเก่งกันทุกคน ตามความเป็นจริงของเขา ซึ่งไม่
เท่ากัน และไม่เหมือนกันเลย ส่วนความไม่ดี หรือไม่เก่งของเขา (ซึ่งมีกันทุกคน) ปล่อยให้เป็นเรื่องของเขาไป ให้มองเฉพาะส่วนที่ดีของเขาเท่านั้น ถ้าคุณทำได้เช่นนี้ คุณก็จะ
เป็นคนที่มองอนาคต และชีวิตดี มีความหวังที่ดีในชีวิตตลอดเวลา สองสิ่งนี้ ถ้าคุณทำเป็นนิสัย คุณจะพบว่า โลกนี้มีสิ่งที่ดี ๆ และไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคต่าง ๆ และท้ายที่สุดก็จะ
กลายเป็นสุขนิยมทั้งชีวิต
          บันไดขั้นที่ 3 ทำวันนี้ให้ดีที่สุด คือการอยู่กับปัจจุบัน ทำกิจกรรมในวันนี้และเวลานี้ให้ดีที่สุด ทำได้แค่ไหนเอาแค่นั้น ไม่ทุกข์ร้อน หรือคาดหวังกับผลลัพธ์ของมัน ไม่ว่า
จะสมใจ หรือไม่สมใจก็ตาม จงชื่นชมในความตั้งใจทำเต็มความสามารถของตนเอง และคิดต่อว่า ในอนาคตจะต้องทำให้ดีกว่านี้ นอกจากนั้น คุณต้องเลิกจดจำ หรือนึกถึงเรื่อง
ที่ไม่ดีที่เกิดกับคุณในอดีต เพราะการจดจำเรื่องราวที่ไม่ดีในอดีต เท่ากับคุณไปสะกิดแผลในใจ และจะทำให้คุณเจ็บปวดมากยิ่งขึ้น จนส่งผลให้ปัจจุบันคุณไม่มีความสุข และ
กลัวว่าอนาคตจะเกิดสิ่งที่ไม่ดีซ้ำ ๆ อีก
          บันไดขั้นที่ 4 มีความหวังและเชื่อว่าอนาคตจะดีเสมอ ความหวัง ความเชื่อ เกิดจากความคิดถึงบ่อย ๆ หรือได้ยินบ่อย ๆ จงนึกและบอกกับตัวเองเสมอว่า อนาคตจะ
ดีขึ้นอีกเรื่อย ๆ จะส่งผลให้เกิดกำลังใจมากขึ้น อยากพบเห็นสิ่งต่าง ๆ ที่จะเข้ามาในชีวิตโดยไม่กลัว มีอารมณ์ขัน และไม่จริงจังกับชีวิตมากนัก แต่จะมีความหวังที่ดี ๆ (Good Hope) อยู่เสมอ แต่อย่ามีความคาดหวัง (Expectation) กับชีวิต เพราะถ้าคาดหวังกับชีวิต เรามักจะกลัว หรือกังวลว่าจะไม่ได้ผลลัพธ์ดังความคาดหวัง หรือเมื่อได้มาแล้วก็มัก
ไม่พอใจ จึงอาจทำให้เกิดทุกข์ได้


บันได้ขั้นที่ 5 ปรับปรุงตัวเองเสมอ โดยปรับปรุง 4 ส่วนที่มีความสำคัญต่อชีวิตคือ

          1. การงาน ให้มีความขยัน อดทน หมั่นหาความรู้ใส่ตัว และกล้าลงมือปฏิบัติในสิ่งที่ควรทำ จะทำให้มีการลงมือทำสิ่งใหม่ ๆ ในชีวิตได้เรื่อย ๆ และปรากฏเป็นผลงาน
ที่ชัดเจน
          2. ครอบครัว จะต้องยึดหลักที่เป็นมงคลต่อกันคือ ไม่อิจฉา ไม่ระแวง ไม่แข่งขัน ไม่นอกใจ รู้จักการให้และการอภัย มีน้ำใจ และรู้จักเกรงใจกัน
          3. สังคม หมั่นสร้างมิตรเสมอ มีการให้ความสำคัญกัน ให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และพูดจากันแบบปิยะวาจา
          4. ตนเอง ต้องมีการพัฒนาตนเองเสมอ มีความภูมิใจตนเองตามความเป็นจริง สามารถให้กำลังใจตัวเองได้ และมีกำลังใจที่พร้อมจะเปลี่ยนแปลงตนเองไปในทางที่ดีขึ้น
          เมื่อบุคลากรขององค์กรแต่ละบุคคลได้ใช้ชีวิตการทำงานอยู่กับสิ่งที่ตนเองพอใจก็จะทำให้มีสภาพจิตใจ และอารมณ์ที่ดี ซึ่งส่งผลให้ทำงานดีตามไปด้วย ดังนั้น จึงจำเป็น
อย่างยิ่งที่แต่ละองค์การจะต้องศึกษาหรือแสวงหาหนทางให้เกิดความสอดคล้องต้องกันของความพึงพอใจระหว่าง พนักงานและองค์การ เพื่อให้องค์การสามารถบรรลุเป้าหมาย
สูงสุด

9 ความคิดเห็น:

  1. อยู่อย่าง พอเพียง คร้า

    ตอบลบ
  2. ชีวิตเบิกบานดีค่ะ แต่ขี้เกียจ555

    ตอบลบ
  3. ทำวันนี้ให้ดีที่สุดก็พอแล้ว

    ตอบลบ
  4. ทุกทุกอย่างอยู่ที่ตัวเราเชื่อพี่

    ตอบลบ
  5. อยู่อย่างมีความสุข ชีวิตก้อดีตาม ใช่ปะ

    ตอบลบ
  6. อยู่อย่างพอเพียงชีวิตก้อจะมีความสุข

    ตอบลบ